สุขภาพ, อาหาร, โภชนาการ, ไขมัน, น้ำตาล, การออกกำลังกาย
★★★ Home Title : ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องราวผู้หญิง ลดน้ำหนักสูตรใหม่ได้ผลเกินคาด
อาหารและสุขภาพ
★★★ Home Description : ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องราวผู้หญิง การลดน้ำหนัก การดูแลรูป
ร่างให้สวยงาม การลดน้ำหนักสูตรใหม่ได้ผลเกินคาด การรับประทานอาหาร
เพื่อการอยู่ดีกินดี และสุขภาพของคุณ
© Women.MateThai.Com เป็นส่วนหนึ่งของ BKKTH.COM – All Rights Reserved.
]]>ยิ่งอด ยิ่งอ้วน มีหลายคนพยายามลดความอ้วน ด้วยการอดอาหาร แต่นั่นมันคือความเชื่อและความเข้าใจผิดๆ เกี่ยวกับการลดความอ้วน ที่พบกันบ่อยมากๆ สาเหตุเพราะร่างกายมนุษย์ทุกคน มีกลไกป้องกันตนเองแต่โบราณ ไม่ให้ขาดอาหาร จนเป็นอันตรายแก่ชีวิต ในยามที่เกิดการอดอยากจากภัยธรรมชาติ ด้วยการลดความสามารถ ในการเผาผลาญอาหารลงโดยอัตโนมัติ
ดังนั้นเมื่อลดอาหารโดยรวมในแต่ละวันลง แต่การเผาผลาญก็ลดลงด้วย ผลลัพธ์สุดท้ายก็คือ อ้วนเท่าเดิม เพราะแคลอรี่ไม่ติดลบอย่างที่คาดหวังไว้…
ความเข้าใจผิด เรื่องการกินอาหาร ลดความอ้วน!
@@@ ความเข้าใจผิด เรื่องการกินอาหาร ลดความอ้วน @@@
น้ำหนักส่วนใหญ่ของคนเราประกอบด้วย น้ำหนักของกระดูก กล้ามเนื้อ เลือด และไขมันบวกกัน กระดูกควรหนักเพราะหมายถึงกระดูกแข็ง ไม่เปราะบางหักง่าย กล้ามเนื้อควรหนักเพราะหมายถึงมีกำลังมากสามารถเดินหรือทำงานได้นานกว่าจะเมื่อยล้า เลือดควรหนักเพราะหมายถึงมีเลือดมากไม่ซีด แต่ไขมันสะสมควรเบาหรือมีน้อยที่สุด เพราะเป็นส่วนเกินซึ่งไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
ที่ลดน้ำหนักไม่สำเร็จ เพราะลดแบบผิดๆอยู่รึเปล่า!
การลดความอ้วนที่ได้ผลและทำให้สุขภาพดีขึ้นด้วย จึงหมายถึง!
การลดไขมันส่วนเกินที่ ต้นแขน ต้นขา รอบเอว สะโพกให้เหลือน้อยที่สุดโดยต้องไม่ทำให้กระดูกบางลง กล้ามเนื้อลีบลง หรือเลือดน้อยลงโดยเด็ดขาดผลวิจัยทางการแพทย์ยีนยันว่าหากลดความอ้วนอย่างถูกต้องโดยลดไขมันส่วนเกินแต่เพียงอย่างเดียว น้ำหนักไม่ควรลดเร็วนัก เฉลี่ยประมาณเดือนละ 2 กก.บวกลบ หากลดเร็วกว่านี้แสดงว่ามีภาวะกระดูกบาง กล้ามเนื้อลีบ และเลือดจางลงร่วมด้วย นอกจากนั้นยังทำให้เกิดโย-โยหมายถึงเมื่อเลิกลดแล้วน้ำหนักขึ้นเร็วมากจนยั้งไม่ทัน ซึ่งอาจทำให้น้ำหนักยิ่งเพิ่มมากกว่าก่อนลดความอ้วนเสียอีก
แค่น้ำอุ่นๆก็ช่วยลดน้ำหนักได้!
@@@ ควรควบคุมอาหารอย่างไร @@@
อาหารประเภทโปรตีนและผักมีหน้าที่ เสริมสร้างกล้ามเนื้อ กระดูก เลือดและบำรุงรักษาส่วนต่างๆของร่างกาย ส่วนอาหารประเภทแป้ง หวาน และไขมันมีหน้าที่ให้กำลังงานเป็นหลัก เสริมสร้างร่างกายน้อยมาก คนที่ต้องรับประทานแป้ง หวาน และไขมันมากคือคนที่ต้องใช้กำลังมาก เช่น กรรมกร ชาวนา และนักกีฬา ซึ่งจะเผาผลาญได้หมดส่วนคนที่ใช้กำลังน้อยแต่รับประทานอาหารประเภทนี้มาก ร่างกายไม่สามารถใช้ได้หมด จึงย่อยสลายแล้วเปลี่ยนไปเป็นไขมันสะสมไว้ตามที่ต่างๆแทน
ดังนั้นการลดไขมันส่วนเกินในร่างกาย ให้เหลือน้อยที่สุด จึงควรเน้นรับประทาน อาหารประเภทโปรตีนและผักให้อิ่มทุกมื้อ และลดอาหารประเภทแป้ง หวานและมันให้เหลือน้อยที่สุดตลอดไป
กินผักผลไม้กันดีกว่า!
@@@ อาหารประเภทแป้งซึ่งควรลด @@@
– แป้งประเภทเมล็ด เช่น ข้าว ข้าวเหนียว ข้าวโพด ถั่วทุกชนิดยกเว้นถั่วเหลืองควรรับประทานกับข้าวให้อิ่มแต่รับประทานข้าวหรือข้าวเหนียวให้น้อยที่สุด ข้าวกล้องมีแป้งน้อยกว่าข้าวเจ้า ขนมปังโฮลวีทมีแป้งน้อยกว่าขนมปังข้าวสาลี จึงทำให้อ้วนน้อยกว่าและถ่ายดีกว่า แต่ถ้าทานปริมาณมากเกินกว่าการใช้แรงเผาผลาญก็ทำให้อ้วนขึ้นอยู่ดี
– แป้งประเภทเส้น เช่น ก๋วยเตี๋ยว หมี่ ขนมจีน ควรรับประทานเกาเหลาแทน ยกเว้นเส้นบุกรับประทานได้เพราะจะถ่ายทิ้งหมดไม่เปลี่ยนรูปเป็นไขมันสะสม
– แป้งประเภทหัว เช่น เผือก มัน ฟักทอง โดยเฉพาะมันฝรั่งทอดควรงดเด็ดขาด
– แป้งทำอาหาร เช่น ปาท่องโก๋ โรตี อาหารทุกชนิดที่ทำจากแป้งรวมทั้งขนมปังจืดเปล่าๆก็ควรลด
– ผลไม้ทุกชนิด ประกอบด้วยแป้งและน้ำตาลตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะจืดหรือเปรี้ยวอย่างไรก็ตาม แต่กลับมีโปรตีนที่ร่างกายต้องการน้อยมาก ถ้าต้องการลดไขมันสะสมโดยไม่ขาดสารอาหารและกากใย ก็ไม่ควรรับประทานผลไม้ทุกชนิด แต่ควรรับประทานผักมากๆแทนซึ่งร่างกายจะได้รับกากใยและวิตามินพอเพียง โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งผลไม้
เริ่มต้น ลดความอ้วนเลย สู้ๆ!
@@@ อาหารที่คนมักเข้าใจผิดว่ารับประทานแล้วไม่อ้วน @@@
– น้ำผลไม้คั้นเองไม่ใส่น้ำตาล หรือน้ำผลไม้ 100% ที่จริงมีน้ำตาลธรรมชาติจำนวนมากถ้าดื่มแล้วไม่ออกกำลังเผาผลาญทิ้งไป ทำให้อ้วนมากกว่าดื่มนมจืดขาดมันเนยเสียอีก
– นมเปรี้ยวและโยเกิร์ต ส่วนใหญ่ทั้งหวานและมีไขมันสูง แต่โปรตีนกลับไม่มากพอ บางแบรนด์เป็นชนิดไขมันต่ำ แต่มีน้ำตาลสูงหรือผสมน้ำผลไม้ดังนั้นควรรับประทานแต่โยเกิร์ตรสธรรมชาติแท้ชนิดไขมันต่ำ ( แต่ไม่อร่อย )
– ชาเขียว ถ้าเป็นชนิดหวานต้องทำให้อ้วนอยู่แล้วส่วนรสธรรมชาติไม่ทำให้อ้วนแต่จากการวิจัยทางการแพทย์พบว่าไม่สามารถลดความอ้วนได้ จึงไม่มีเหตุผลที่จะดื่มเพื่อลดความอ้วน
– เครื่องดื่มหรือวุ้นที่ทำจากบุก แต่กลับใส่น้ำตาลหรือน้ำผลไม้
– ครีมผงและข้าวโอ๊ตสำเร็จรูปชนิดไม่มีโคเลสเตอรอลแต่กลับมีไขมันอิ่มตัวสูงยิ่งชนิดทรีอินวันพร้อมดื่มจะมีน้ำตาลและไขมันอิ่มตัวจำนวนมากควรชงกาแฟ โกโก้โดยใช้นมจืดไขมันต่ำและน้ำตาลเทียมแทน
– ส้มตำเปล่าๆทุกมื้อจะได้รับแต่น้ำตาลแต่ขาดโปรตีนควรรับประทานเพียงเล็กน้อยแล้วเพิ่มไก่ย่างไม่ติดหนังหรือหมูปิ้งไม่ติดมันและผักให้พออิ่ม โดยไม่รับประทานข้าวเหนียว
– รับประทานผลไม้จืดหรือเปรี้ยวแทนอาหาร 1 มื้อ เช่น ฝรั่ง แอปเปิล แก้วมังกร สับปะรดเป็นวิธีการที่ผิดอย่างร้ายแรงเพราะเปลี่ยนจากข้าว ( แป้ง ) เป็นผลไม้ ( ก็แป้งเหมือนเดิมแต่มีน้ำตาลมากกว่า ) ซ้ำยังไม่รับประทานกับข้าวซึ่งเป็นโปรตีนและผักร่างกายจะเปลี่ยนแป้งและน้ำตาลธรรมชาติในผลไม้เหล่านี้เป็นไขมันสะสมอยู่ดี บางคนจึงไม่ลด ส่วนคนที่น้ำหนักลดเกิดจากการขาดสารอาหาร ทำให้กระดูก กล้ามเนื้อ และเลือดลดลง น้ำหนักโดยรวมจึงลดลง คนเหล่านี้จะค่อยๆป่วยหมดแรงและห่อเหี่ยวจนต้องเลิกในที่สุด และกลับปล่อยให้อ้วนเหมือนเดิมแทบทุกราย
การวัดรอบพุงที่ถูกต้อง!
@@@ อาหารประเภทโปรตีนที่ควรรับประทานเพิ่ม @@@
– เนื้อสัตว์ไม่ติดมันหรือหนัง ไม่รับประทานเลือด เครื่องใน และไม่ทอด
– เต้าหู้เจไม่ใส่ไข่
– ไข่ขาว ไม่ควรรับประทานไข่แดง
– นมจืดไขมันต่ำ เติมน้ำตาลเทียม โกโก้ ชา กาแฟได้นมจืด 1 กล่องแทนอาหาร 1 มื้อได้เพียงพอ แต่มื้ออื่นต้องรับประทานผักให้มาก เพื่อเพิ่มกากใยอาหารชดเชย
– นมถั่วเหลืองหวานน้อย เช่น น้ำเต้าหู้หวานน้อยวีซอยรสจืด
ยิ่งอด ยิ่งอ้วน!
@@@ ยิ่งอด ยิ่งอ้วน @@@
การลดความอ้วนโดยการอดอาหารไปเลยเป็นบางมื้อ นอกจากจะเกิดอันตรายจากการขาดสารอาหาร เช่น เป็นลม หน้ามืด ใจสั่น เครียด โรคกระเพาะอักเสบ ท้องผูก ริดสีดวงทวาร โลหิตจาง กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปัญญาและสมาธิในการทำงานหรือเรียนลดลง ตลอดจนกระดูกพรุนแล้ว ยังอาจทำให้เกิดปัญหาความอ้วนไม่ลด หรือค่อยๆอ้วนยิ่งขึ้นไปอีก
ทั้งนี้เพราะร่างกายมนุษย์ทุกคนมีกลไกป้องกันตนเองแต่โบราณ ไม่ให้ขาดอาหาร จนเป็นอันตรายแก่ชีวิต ในยามที่เกิดการอดอยากจากภัยธรรมชาติ ด้วยการลดความสามารถในการเผาผลาญอาหารลงโดยอัตโนมัติ ดังนั้นเมื่อลดอาหารโดยรวมในแต่ละวันลงแต่การเผาผลาญก็ลดลงด้วย ผลลัพธ์สุดท้ายก็คืออ้วนเท่าเดิมเพราะแคลอรี่ไม่ติดลบอย่างที่คาดหวังไว้
ยิ่งกว่านั้นในมื้อที่ไม่อดอาหาร การเผาผลาญก็ยังคงลดต่ำอย่างมากผิดปกติ ทำให้อาหารมื้อนั้นถูกเปลี่ยนเป็นไขมันมากขึ้น ทำให้อ้วนมากขึ้นจากอาหารมื้อนั้นทั้งๆที่กินเท่าเดิม
การควบคุมอาหารเพื่อลดความอ้วน จึงไม่ใช่การอดอาหาร และห้ามอดอย่างเด็ดขาด จะต้องกินอาหารให้ครบมื้อ และตรงเวลา เพียงแต่เปลี่ยนประเภทของอาหารเท่านั้น
@@@ น้ำเปล่าทำให้อ้วนหรือไม่ @@@
ร่างกายต้องการน้ำถึงวันละ2000ซีซีขึ้นไป ในการนำไขมันสะสมที่ละลายออกมาจากการควบคุมอาหารที่ถูกต้องไปกำจัดทิ้งทางอุจจาระ ถ้าดื่มน้ำไม่พอไขมันที่ละลายจะกลับไปสะสมอยู่ที่เดิม ดังนั้นนอกจากน้ำเปล่าจะไม่ทำให้อ้วนแล้วยังมีส่วนช่วยอย่างมากในการลดความอ้วนด้วย
แค่แกว่งแขน ก็ลดพุงได้!
@@@ การออกกำลังกายสำคัญกว่าการควบคุมอาหาร @@@
การออกกำลังกาย สามารถลดความอ้วน และละลายไขมันได้เหนือกว่า การคุมอาหารมาก ถ้าให้เลือกระหว่างได้ทานอาหารที่ชอบบ้าง แต่ต้องเหนื่อยยากเสียเวลาไปกับการออกกำลังกาย กับไม่ออกกำลังกายแต่ยอมอดอาหารที่ชอบ ควรเลือกการออกกำลังกายมากกว่า เพราะนอกจากจะทำให้มีความสุขกับการที่ได้รับประทานของโปรดเป็นบางครั้งโดยไม่ต้องเคร่งครัดมากแต่ไม่ทำให้อ้วนแล้ว ในระยะยาวยังทำให้สุขภาพจิตและสุขภาพกายดีกว่าเดิมมาก นอกจากนั้นการออกกำลังกายที่ถูกต้องยังช่วยลดความอ้วนเฉพาะส่วนได้ ทำให้รูปร่างสมส่วนมากกว่าการผอมจากการควบคุมอาหารแต่เพียงอย่างเดียว
บทความโดย นพ. พัฒนพงษ์ อธิกวินธร
การลดน้ำหนัก ด้วยการออกกำลังกาย ได้ผลมากกว่าที่คิด!
]]> ในการควบคุมอาหารนั้น ต้องเรียนรู้ว่าอาหารประเภทใดทำให้อ้วน ประเภทใดให้พลังงานมาก และควรเลือกรับประทานอย่างไร เช่น อาหารที่มีไขมันจะให้พลังงานมาก เพราะไขมัน 1 กรัม ให้พลังงาน 9 กิโลแคลอรี่ น้ำตาลทรายเป็นอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตมาก คาร์โบไฮเดรต 1 กรัม ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี่ น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ ให้พลังงานประมาณ 50 กิโลแคลอรี่ ถ้ารับประทานกาแฟใส่น้ำตาล 3 ช้อนชา และคอฟฟีเมต 3 ช้อนชา จะได้พลังงานประมาณ 85 กิโลแคลอรี่ ถ้าดื่มกาแฟวันละ 3 ถ้วย จะได้พลังงานส่วนเกิน 255 กิโลแคลอรี่ และถ้ารับประทานคุกกี้ร่วมด้วย 2 อัน ให้พลังงาน 100 กิโลแคลอรี่ พลังงานที่ได้รับก็จะเพิ่มขึ้นอีก
ผักผลไม้ กินลดความอ้วน!
ขนมหวานส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของทั้งแป้ง น้ำตาล และไขมัน ทำให้มีรสอร่อย และอาหารอีกประเภทหนึ่งที่มีไขมันมาก ได้แก่ อาหารที่มีแป้งและไขมัน เช่น มันแผ่นทอด ข้าวเกรียบทอด ขนมกรุบกรอบต่าง ๆ มักรับประทานได้เรื่อย ๆ ทำให้ได้รับพลังงานส่วนเกินมาก และน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นไม่รู้ตัว
อาหารคาวจำพวกอาหารจานเดียวที่รับประทานกันประจำ หลายชนิดให้พลังงานมาก รวมทั้งขนมหวานและขนมกรุบกรอบบางชนิด ปัจจุบันอาหารสำเร็จบรรจุถุงจะมีฉลากข้อมูลโภชนาการ ฉะนั้นก่อนรับประทานควรทราบว่า หนึ่งหน่วยบริโภค มีปริมาณเท่าไร และให้พลังงานกี่แคลอรี่ ซึ่งจะช่วยให้สามารถควบคุมพลังงานที่ได้รับได้ดีขึ้น
ผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก ควรเลี่ยงอาหารทอด อาหารใส่กะทิ ขนมหวาน เลือกรับประทานเนื้อสัตว์ไม่ติดมันและหนัง รับประทานผักให้มากขึ้น และเลือกรับประทานผลไม้ที่หวานน้อยแทนขนม ข้าวหรืออาหารจำพวกแป้งอื่น ๆ ลดปริมาณในแต่ละมื้อให้น้อยลง แต่ไม่ควรงด รับประทานมื้อลอน้อย ๆ วันละ 3-4 มื้อ โดยมีอาหารหลัก 3 มื้อ และอาหารว่าง 1-2 มื้อ ดีกว่าการรับประทานมื้อละมาก ๆ แต่น้อยครั้ง และหาเวลาออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ อาจเป็นการเดินขึ้นลงบันได หรือเคลื่อนไหวในเวลาทำงานให้มากขึ้น แทนการนั่งตลอดเวลา 2-3 ชั่วโมง จะช่วยให้ควบคุมน้ำหนักได้ดีขึ้น หากต้องการใช้ยาควรปรึกษาแพทย์ ซึ่งปัจจุบันมียาที่ลดการดูดซึมไขมันในอาหารที่รับประทาน ช่วยให้สามารถควบคุมและลดพลังงานจากไขมันได้
อ้างอิง http://xn--42c5alg3bvmeb3dvcso10a.blogspot.com/
ประโยชน์ของถั่วลิสง ที่ช่วยในการลดความอ้วน
@@@ กินแป้งยังไง ไม่ให้อ้วน @@@
วิธีการที่จะทำให้การกินแป้งไม่อ้วนมี 2 วิธีคือ
(1) การเลือกกินแป้งและน้ำตาล ที่มีดัชนี ไกลซีมิก ต่ำ – ดัชนีนี้เป็นตัววัดว่า อาหารพวกแป้งและน้ำตาลนี้จะมีผลต่อระดับของกลูโคสในเลือดอย่างไร หากมีค่าไกลซีมิกสูงเท่าไร ระดับกลูโคสในเลือดก็เพิ่มขึ้นเร็วเท่านั้นโดยปกติ กลูโคสจะถือว่ามีค่าไกลซีมิกอยู่ที่ 100 ส่วนแป้งและน้ำตาลอื่นๆก็มีค่าน้อยลงลดหลั่นลงมา หากอาหารที่มีค่าไกลซีมิกต่ำกว่า 55 ถือว่ามีค่าไกลซีมิกต่ำ ส่วนระดับ 55-70 จัดว่ามีค่าอยู่ขั้นปานกลาง และระดับที่สูงกว่า 70 จัดอยู่ในขั้นสูงดังนั้น หากไม่อยากให้เกิดระดับกลูโคสในเลือดสูงเกินไป ก็เลือกกินแป้งและน้ำตาลที่มีค่าไกลซีมิกต่ำนั้นเอง>> แป้งและน้ำตาล ที่มีค่าไกลซีมิกสูง เช่น ขนมปัง (แม้แต่โฮลวีทที่มีวิตามินเยอะก็สูง) วัฟเฟิล แครกเกอร์ ข้าวขัดขาว มันฝรั่ง ไม่ว่าจะเป็น เฟรนฟราย หรือ อบ>> แป้งและน้ำตาล ที่มีค่าไกลซีมิกต่ำๆ เช่น พวกแป้งและน้ำตาลที่อยู่ในถั่วโดยส่วนใหญ่ น้ำตาลในผลไม้ ข้าวซ้อมมือ พาสต้า หรือ สปาเก็ตตี้ ปัญหาหลักของการทานดัชนีไกลซีมิกสูงๆ คือ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการฟอกสีและกระบวนการผลิตที่ทำให้อาหารที่มีค่าไกลซีมิกต่ำกลายเป็นอาหารที่มีค่าไกลซีมิกสูง อย่างพวกแป้งขัดขาวที่นำมาทำเป็นขนมปัง ดังนั้นไม่ถึงกับต้องงดหรือลดการทานแป้งและน้ำตาลคะแต่ให้เลือกพวกที่มีค่าไกลซีมิกต่ำเป็นหลัก
(2) การออกกำลังกาย – การออกกำลังกายนี้จะไปกระตุ้นตับอ่อนให้ผลิตฮอร์โมนอีกชนิดหนึ่งคือ กลูคากอน มันมีหน้าที่ในการรักษาระดับของกลูโคสในเลือดไม่ให้ต่ำเกินไป โดยการสลายไกลโครเจนที่สะสมไว้เป็นกลูโคส รวมไปถึงการเอาไขมันที่สะสมมาใช้ด้วยซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่าออกกำลังกายจึงทำให้คนเราผอมลง ดังนั้นอย่ากลัวแป้งและน้ำตาลมากจนเกินเหตุนะคะ แต่ให้เราเลือกการรับประทาน และออกกำลังกายไปด้วย น้ำหนักก็ลดลงได้คะ
อ้างอิง http://xn--42c5alg3bvmeb3dvcso10a.blogspot.com/
เคล็ดลับประหลาดที่ลดน้ำหนักอย่างได้ผล!
]]> สูตรลดน้ำหนักใหม่ได้ผลเกินคาด หนักอาหารเช้าเคล้าแป้ง-โปรตีน เอเจนซีส์ นอกจากจะเป็นมื้อสำคัญที่สุดแล้ว งานวิจัยใหม่ยังบ่งชี้ว่ายิ่งกินอาหารเช้ามากเท่าไหร่ ผู้หญิงยิ่งลดน้ำหนักได้มากและยั่งยืนขึ้นเท่านั้น
กำจัดเซลลูไลท์ยังไงให้ได้ผล!
ผลวิจัยจากอเมริการะบุว่า ผู้หญิงที่กินอาหารเช้าในปริมาณราวครึ่งหนึ่งของจำนวนแคลอรีที่ได้รับตลอดทั้งวัน มีแนวโน้มลดน้ำหนักในระยะยาวได้มากกว่าผู้หญิงที่เริ่มต้นมื้อแรกของวันด้วยอาหารแค่หยิบมือ แถมมีแนวโน้มว่าไขมันส่วนเกินจะไม่กลับมาเกาะรอบเอวอีกครั้ง
ดร. แดเนียลา จาคูโบวิซ จากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย คอมมอนเวลท์ สหรัฐฯ เชื่อว่าอาหารเช้าที่อุดมด้วยโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต ช่วยลดความอยากของหวานหรืออาหารประเภทแป้งในระหว่างวัน รวมทั้งกระตุ้นกระบวนการเผาผลาญอาหารในร่างกาย
ข้าวโอ๊ตสุดยอดอาหารไขมันต่ำเพื่อการลดความอ้วน!
นักวิจัยได้ศึกษาว่า พฤติกรรมการกินอาหารเช้า มีผลอย่างไรต่อน้ำหนักตัวผู้หญิงที่เป็นโรคอ้วนเกือบ 100 คน โดยแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม
กลุ่มแรกกินอาหารวันละ 1,085 แคลอรี่ ประกอบด้วยโปรตีนและไขมันเป็นหลัก และกินอาหารเช้าเพียง 290 แคลอรี่ โดยมีคาร์โบไฮเดรตเพียง 7 กรัม
ขณะที่อีกกลุ่มกินอาหารวันละ 1,240 แคลอรี่ โดยลดสัดส่วนของไขมันลง และเพิ่มคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนแทน ส่วนอาหารเช้า 610 แคลอรี่ ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต 58 กรัม อาหารกลางวันและเย็น 395 และ 235 แคลอรี่ตามลำดับ
ผู้หญฺิงอ้วนมีรูปร่าง 3 แบบ ผู้ชายมีแค่แบบเดียว!
ผ่านไปครึ่งทางของโครงการศึกษา และติดตามผลระยะเวลา 8 เดือน ปรากฏว่า กลุ่มที่กินอาหารเช้าเพียงเล็กน้อยน้ำหนักลดลงเฉลี่ย 12.7 กิโลกรัม มากกว่าอีกกลุ่ม 2.27 กิโลกรัม
แต่หลังจากแปดเดือน กลุ่มที่กินอาหารเช้าเพียงเล็กน้อยน้ำหนักตัวตีกลับเฉลี่ย 8.17 กิโลกรัม ในทางตรงข้าม กลุ่มที่กินอาหารเช้าหนักกว่ามื้ออื่นๆ ยังคงลดน้ำหนักได้อีกเฉลี่ย 7.5 กิโลกรัม
เมื่อสิ้นสุดการศึกษา กลุ่มที่กินอาหารเช้าเต็มที่น้ำหนักตัวลดลงกว่า 21% เทียบกับแค่ 4.5% ของอีกกลุ่ม นอกจากนั้นยังรู้สึกหิวน้อยลง โดยเฉพาะมื้อกลางวัน และอยากอาหารประเภทแป้งน้อยลง
ดร.จาคูโบวิซ ซึ่งแนะนำให้ผู้ป่วยกินอาหารเช้ามากๆ มากว่า 15 ปี บอกว่า สูตรควบคุมอาหารที่ได้รับความนิยมที่จำกัดปริมาณคาร์โบไฮเดรต ไม่ช่วยลดความอยากอาหารประเภทแป้งลง
อนึ่ง ต้นปีนี้ มีการศึกษาชาย-หญิงอังกฤษราว 1,000 คน ซึ่งพบว่า คนที่กินอาหารเช้ามากที่สุดกลับมีน้ำหนักขึ้นน้อยที่สุดในระยะเวลา 5 ปี แม้มีแนวโน้มว่าจะกินอาหารเกือบทุกประเภทตลอดทั้งวันก็ตาม
งานวิจัยสรุปว่า การงดมื้อเช้าทำให้ร่างกายขาดสารอาหาร จึงกระตุ้นให้กินอาหารกลางวันและอาหารเย็นมากขึ้น อันเป็นที่มาของความอ้วน ขณะที่มื้อเช้าที่มีปริมาณแคลอรีครึ่งหนึ่งของที่ร่างกายได้รับตลอดทั้งวัน ทำให้ร่างกายย่อยและเผาผลาญอาหารอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ที่มา ผู้จัดการออนไลน์
ลดน้ำตาล ลดโรค!
6 นิสัยที่ทำให้อ้วน!
โยคะ ให้เอวบาง ร่างน้อย!
การลดน้ำหนัก โดยการออกกำลังกายที่บ้าน!
]]>– มะเขือเทศ และซอสมะเขือเทศ มีสารที่เรียกว่า “ไลโคพีน” ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ มะเร็งบางชนิด และโรคจอประสาทตาเสื่อม
– มันเทศ ฟักทอง และแครอต รับประทานผักและผลไม้สีเหลืองอย่างน้อยวันละสองถ้วยจะช่วยให้ร่างกายได้รับ”เบต้า-แคโรทีน” จำเป็นต่อผิวหนังและดวงตา ช่วยปกป้องผิวจากการถูกทำลาย หรือแม้แต่ลดริ้วรอยได้
เกาลัดหนึ่งในสุดยอดอาหาร ต้านความชรา
– บูลเบอร์รี่ และองุ่นม่วง มีสาร “แอนโธไซยานิน” ช่วยกระตุ้นความจำ และการรับรู้
– บล็อกโคลี่ มีสาร “ซัลโฟราเฟน” ช่วยชำระล้างสารพิษในร่างกาย โดยเฉพาะบล็อกโคลี่ต้นอ่อนที่มีอายุเพียงแค่ 3 วัน จะมีคุณค่าทางโภชนาการมาก เหมาะแก่การนำมารับประทาน
– ผักโขมและผักใบเขียว ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจได้ถึง 11 เปอร์เซ็นต์
– แอปเปิ้ล(ทั้งเปลือก) มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องสมองจากการถูกทำลาย สาวๆ คนไหนที่ ยี้ เปลือกแอปเปิ้ลอยู่ละก็ หันมากินแอปเปิ้ลทั้งเปลือกกันได้แล้วนะค่ะ
– ชาเขียว เช่นเดียวกับชาดำ ช่วยป้องกันโรคหัวใจ ลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม
– ขิง ขมิ้น และเครื่องเทศ ช่วยป้องกันการเกิดโรคเรื้อรัง ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์ ถ้าไม่อยากความจำเสื่อมก็หันมารับประทานสมุนไพรพวกนี่ได้นะค่ะ
– ช็อกโกแลต โกโก้ ช่วยลดคอเลสเตอรอล LDL และลดความเสี่ยงจากเลือดจับตัวเป็นก้อน กินช็อกโกแลตก็ไม่ได้สิวขึ้นเสมอไปนะ
– ไข่ ลืมข้อเสียเรื่องคอเลสเตอรอลที่เคยเชื่อกันมานานนมไปได้เลย เพราะไข่มีครบทั้ง “เกลือแร่ วิตามิน โปรตีน” ไข่แดงยังอุดมไปด้วยคาโรทีนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นเยี่ยม
ที่มา เก็บตกจากFWmail
ประโยชน์ของฟักทอง
]]> ลดความอ้วน ลดน้ำหนักได้…ไม่ต้องอด ตัวอย่างเช่น กล้วยหอม เหมาะกับผู้ที่กำลังลดน้ำหนักเพราะทำให้รู้สึกอิ่มเร็ว และอยู่ท้องนาน หรืออย่างส้มตำทานเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน( แต่ห้ามใส่น้ำตาลเยอะนะครับ ไม่งั้นก็ช่วยไม่ได้ 555++ )
@@@ ลดความอ้วน ลดน้ำหนักได้…ไม่ต้องอด @@@
เซล ลูไลท์ที่ขา สะโพกที่ใหญ่ ไขมันที่หน้าท้องเป็นสิ่งไม่พึงประสงค์ สำหรับสาวๆ ใครมีไขมันส่วนเกินก็กลัวว่าจะใส่เสื้อผ้าที่แอบเซ็กซี่นิดๆ แล้วไม่สวย จึงหันไปไดเอท อดอาหาร ออกกำลังกายหักโหม เพื่อรีดไขมันพวกนี้ออกไป แต่ผู้ที่เริ่มไดเอท ส่วนมากก็จะเลิกไดเอทเอาง่ายๆ น้ำหนักที่ลดลงกลับเพิ่มขึ้นมาใหม่ และอาจมากกว่าเดิม
คงจะเคยได้ยินคนที่กำลังลดน้ำหนักพูดว่า ทำไม่ได้เพราะอดใจไม่ไหว หรือ ตบะแตก กันบ้าง นั่นเป็นเพราะอดอาหารมากเกินไป โดยเฉพาะห้ามตนเองกินสิ่งที่ชอบ อาหารช่วงไดเอทอาจซ้ำซากจำเจ เมื่ออดมากๆ ตลอดทั้งวัน ทำให้ไม่มีแรง รู้สึกหิวโหยในช่วงเย็น และลงเอยโดยการกินทุกอย่างที่ขวางหน้า สิ่งที่ตามมาคือความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ เสียความมั่นใจในตนเอง วงจรของการลดน้ำหนักเป็นไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
@@@ มาเลิกไดเอทกันเถอะค่ะ @@@
ถ้าคุณเผชิญกับปัญหาน้ำหนักขึ้นๆ ลงๆ จากการไดเอท คุณควรรู้จักวิธีจัดการกับอาหารที่ชอบ ไม่ใช่ปฏิเสธโดยสิ้นเชิง คุณสามารถรับประทานอาหารที่ชอบได้ทุกวันในปริมาณที่พอเหมาะ การทำเช่นนี้จะทำให้ความอยากอาหารลดลง การลดน้ำหนักจะประสบผลสำเร็จและถาวรมากขึ้น
ท่าโยคะ ลดน้ำหนัก
การลดน้ำหนักเพื่อให้สุขภาพดี และประสบความสำเร็จนั้นต้องให้ความสำคัญกับ
* ปริมาณอาหารที่รับประทาน
* เวลาที่รับประทาน
* ทำไมถึงรับประทาน
ก่อนที่จะตั้งเป้าหมายว่าจะลดน้ำหนักลงเท่าใดนั้น ควรประเมินสรีระของร่างกายตนเองก่อน ผู้ที่หนัก 130 กิโลกรัม และมีไขมันในตัวมาก จะลดน้ำหนักลงได้ง่ายกว่าและเร็วกว่าผู้ที่มีกล้ามเนื้อเยอะ และต้องการลดน้ำหนักลงเพียงแค่ 5 กิโลกรัม พันธุกรรมก็มีส่วนเป็นตัวกำหนดน้ำหนักที่ควรเป็นด้วยเหมือนกัน
@@@ 7 ขั้นตอนเพื่อลดไขมันส่วนเกิน @@@
1. จดบันทึกอาหารที่รับประทาน และเครื่องดื่มต่างๆ อย่างน้อย 3 วัน นอกจากนี้ควรบันทึกว่าทำไมถึงรับประทาน อาจจะไม่ใช่เพราะความหิว แต่เป็นเพราะ อยาก เบื่อ เหงา เศร้า หรือหงุดหงิด งานวิจัยพบว่าผู้ที่จดบันทึกอาหารสามารถลดน้ำหนักได้ผลดีกว่าผู้ที่ไม่ บันทึก การจดบันทึกนี้จะทำให้เห็นแบบอย่างลักษณะการบริโภคที่นำไปสู่ความอ้วนได้ เช่น ใช้ขนมเป็นตัวปลอบใจขณะที่รู้สึกเศร้า หรือรับประทานอาหารในช่วงวันน้อยมาก จึงทำให้หิวมากในช่วงเย็น เป็นต้น เมื่อทราบเช่นนี้จะช่วยให้มีกลยุทธ์ในการแก้ไขพฤติกรรมอย่างถูกต้อง อาจเป็นการหาวิธีอื่นที่ไม่ใช้อาหารเป็นการปลอบใจหรือเป็นรางวัล เช่น การคุยกับเพื่อน ออกไปเดินเล่น ทำสวน ทำเล็บ อาบน้ำสัตว์เลี้ยง เป็นต้น นอกจากนี้ควรบันทึกเวลาที่ออกกำลังกายด้วย เพื่อดูนิสัยการออกกำลังกาย
2. เน้นมื้อเช้าและมื้อเที่ยง เพราะจะทำให้มีแรงทำงาน และออกกำลังกายในช่วงเย็น ถ้าต้องการพลังงานวันละ 1300 แคลอรี่ ให้แบ่งแคลอรี่แต่ละมื้อเป็น 500-500-300 (เช้า-กลางวัน-เย็น)
3. รับประทานอาหารช้าๆ งานวิจัยพบว่าผู้ที่มีน้ำหนักเกินมักมีพฤติกรรมรับประทานอาหารเร็วกว่าสมอง จะใช้เวลารับรู้ว่าท้องอิ่มประมาณ 20 นาที ดังนั้นการกินอาหารช้าๆ จะทำให้ได้รับรู้รสชาติของอาหารมากขึ้น ทำให้เกิดความพึงพอใจ เพลิดเพลินกับการรับประทาน ถ้าใครรู้ว่าตัวเองมีนิสัยการกินอาหารเร็วควรฝึกตนเองให้กินช้าลง โดยวางช้อนส้อมระหว่างคำ เคี้ยวอาหารให้ละเอียด ใช้เวลาพูดคุยกับครอบครัวหรือเพื่อนที่รับประทานด้วย
4. เลือกรับประทานที่ชอบ การปฏิเสธอาหารที่ชอบจะทำให้มีความอยากมากขึ้น จนทนไม่ไหว ควบคุมตนเองไม่ได้ และทำให้กินอาหารมากเกินควรภายหลัง แต่ถ้าอนุญาตตนเองให้กินอาหารที่ชอบที่อยากกินในปริมาณที่พอเหมาะจะทำให้ ความอยากอาหารลดน้อยลงและสามารถควบคุมตนเองได้ อาจใช้วิธีแลกเปลี่ยนอาหาร เช่น ถ้าอยากรับประทานโดนัท 1 ชิ้น 200 แคลอรี่ ให้ลดปริมาณข้าวลง 2 ทัพพี และเลือกอาหารไขมันต่ำในมื้อถัดไป การวางแผนล่วงหน้าจะป้องกันการรับประทานอาหารมากเกินควร
5. หลีกเลี่ยงการมีขนมไว้ยั่วยวนใจ โดยการไม่ซื้อมาเก็บไว้ที่บ้าน หรือถ้าซื้อมาให้คนอื่นในครอบครัวให้เก็บไว้ในตู้ เพราะถ้าไม่เห็นก็จะไม่นึกถึง และไม่เอาเข้าปาก ถ้าคุณเป็นคนที่ใช้เวลาส่วนมากอยู่ในครัว อาจพิจารณาย้ายไปห้องนั่งเล่นเพื่อทำกิจกรรมอื่นหรือเพื่อผ่อนคลาย ถ้าไปเดินเล่นห้างสรรพสินค้าพยายามหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีอาหารขายเยอะๆ เวลากลับมาบ้านแทนที่จะเดินเข้าห้องครัวทันทีเพื่อหาอะไรรับประทาน ให้เปลี่ยนเส้นทางเป็นเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้า และพักผ่อนก่อนที่จะเข้าห้องครัว
6. มีแบบแผนการรับประทานที่มีความเป็นไปได้ นั่นคือมีความยืดหยุ่นกับตนเองบ้าง ชีวิตเราในแต่ละวันมีความแตกต่างกันออกไป บางวันเครียด บางวันสบาย บางวันมีงานเลี้ยง ถ้าเผลอรับประทานเยอะหน่อยที่งานเลี้ยงก็ไม่ต้องลงโทษตัวเองจะทำให้ชีวิตไม่ มีความสุข ให้เลือกอาหารที่ เบาๆ ในวันถัดมา จะไม่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่ม
7. จัดตารางเวลาให้กับการออกกำลังกายและจดลงในสมุดนัด โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ออกกำลังกายเป็นประจำและมีงานยุ่ง ประโยชน์ของการออกกำลังกายนั้นมีมากมาย นอกจากจะเป็นวิธีเผาผลาญพลังงานแล้วยังช่วยคลายเครียด กระชับกล้ามเนื้อและทำให้มีสุขภาพดี แต่ข้อสำคัญคือ ควรเพลิดเพลินสนุกไปกับการออกกำลังกายด้วย เพราะถ้าใช้การออกกำลังกายเป็นบทลงโทษตนเอง หรือเพื่อเพียงเผาผลาญพลังงานแล้วจะทำให้รู้สึกเบื่อและเลิกไปในที่สุด ควรเลือกกิจกรรมที่ชอบ ไม่ว่าจะเป็นว่ายน้ำ เดิน วิ่ง โยคะ หรือเต้นลาตินก็ตาม แนะนำให้ออกกำลังกาย 30-60 นาที 4-7 วันต่อสัปดาห์ เพื่อให้สุขภาพแข็งแรง และป้องกันการเพิ่มน้ำหนัก
+++ การลดน้ำหนักเป็นเรื่องที่พูดกันง่ายแต่ทำกันยาก +++
นี่อาจเป็นเพราะมีข้อมูลและผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการลดน้ำหนักมากมาย ทำให้ผู้ที่อยากลดน้ำหนักสับสนกับข้อมูล ความเชื่อๆ ผิดอย่างหนึ่ง คือ อาหารประเภทแป้งทำให้อ้วน ตัวแป้งเองไม่ได้ทำให้อ้วน แต่การได้รับแคลอรี่เกินกว่าที่ใช้จะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น แป้งและโปรตีนมีพลังงาน 4 แคลอรี่ต่อกรัม เทียบกับไขมันที่มี 9 แคลอรี่ต่อกรัม และแอลกอฮอล์ที่มี 7 แคลอรี่ต่อกรัม อาหารประเภทแป้งที่มีไขมันแฝงอยู่มีมากมาย เช่น ขนมปัง ขนมปังกรอบ ผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ต่างๆ โรตี ขนมน้ำกะทิ ขนมทอดกรอบ และอื่นๆ อาหารประเภทแป้งที่มีไขมันสูงนี้มักมีน้ำตาลสูงด้วย และมีแคลอรี่สูง การรับประทานอาหารประเภทนี้เป็นประจำหรือในปริมาณมากนั้นจะทำให้มีพลังงาน สะสม และทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ อาหารประเภทแป้งที่มีประโยชน์ได้แก่ ข้าวซ้อมมือ เส้นต่างๆ เมล็ดถั่วธัญพืช มีวิตามิน แร่ธาตุและไฟเบอร์ ที่ทำให้รู้สึกอิ่มท้อง ควรเลือกอาหารประเภทแป้งที่มีประโยชน์พวกนี้ เป็นส่วนมาก
วิธีลดน้ำหนักที่กำลังเป็นที่นิยมมากในตอนนี้คือ ???
ไดเอทแบบโปรตีนสูง นั่นคือ อดอาหารประเภทแป้ง รับประทานแต่โปรตีนกับผัก วิธีลดนำหนักแบบนี้จะทำให้น้ำหนักลงได้เร็ว นั่นเป็นเพราะ
1. ร่างกายขับน้ำออกมามาก คาร์โบไฮเดรตหรือแป้งทำให้กล้ามเนื้อกักน้ำไว้ เมื่อมีแป้งน้อยน้ำในกล้ามเนื้อจะน้อยลงตามด้วย
2. เมื่อ อดอาหารประเภทแป้ง แคลอรี่ที่ได้รับในแต่ละวันจะลดลงด้วย ไม่เพียงแต่งดขนมปัง 2 แผ่น (160 แคลอรี่) เท่านั้น แต่คุณสามารถตัดแคลอรี่จากเนย 2 ช้อนชา (90 แคลอรี่) ที่ตามมาด้วย
3. อาหาร ประเภทโปรตีนทำให้คุณรู้สึกอิ่มท้องนาน เพราะใช้เวลาในการย่อยนานจึงทำให้ไม่หิวบ่อย จนกระทั่งคุณมีความอยากอาหารประเภทแป้งอีก ซึ่งก็อาจทำให้คุณเลิกไดเอทได้ง่ายๆ เหมือนกัน มีงานวิจัยพบว่า หลังจาก 1 ปี ผู้ที่ลดน้ำหนักแบบโปรตีนไม่ได้มีน้ำหนักที่ลดลงแตกต่างจากผู้ที่ลดน้ำหนัก แบบคาร์โบไฮเดรตสูง ไขมันต่ำแต่อย่างใด ดังนั้นผู้ที่จะลดน้ำหนักควรพิจารณาดูว่า อาหารที่ตนชอบคืออะไร ถ้าชอบรับประทานแป้งก็ไม่ควรไปอด เพราะการลดน้ำหนักจะไม่ประสบความสำเร็จ
@@@ One Day Menu – เมนูลดน้ำหนัก 1 วัน @@@
มื้อเช้า :
* เต้าหู้หลอดกวน ใส่ต้นหอม
* มะเขือเทศ (ใช้เต้าหู้1/2 หลอด)
* ขนมปังโฮลวีท 2 แผ่น
* ทาเนยถั่วหรืองาบด 1 ช้อนโต๊ะ
* กล้วยน้ำว้า 1 ลูก
* กาแฟใส่นมพร่องไขมัน ? ถ้วยตวง
มื้อเที่ยง :
* ขนมจีนน้ำยา 1 ชาม
* ผักตามชอบ
* แก้วมังกร 1/2 ผล
มื้อบ่าย :
* อัลมอนด์ 10 เม็ด
มื้อเย็น :
* สลัดยำปลาทูน่า 1 จาน ใช้ปลาทูน่าแพ็คในน้ำ ? กระป๋อง
* มะม่วงสุก 1 ผล
* นมพร่องไขมัน 1 ถ้วย
เมนูนี้ให้พลังงาน 1,200 แคลอรี่ พลังงานที่ต้องการในการลดน้ำหนักจะแตกต่างกัน ในแต่ละคน ซึ่งคนส่วนมากได้รับพลังงานต่ำไปกว่า 1,200 แคลอรี่ ถ้าใครตัวสูงหรืออกกำลังกายมาก แนะนำให้เพิ่มพลังงานเป็น 1,500-1,800 แคลอรี่ต่อวัน
อย่าลืมว่าการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วโดยควบคุมจนมากเกินไป ปฏิเสธอาหารที่ตนชอบจะไม่ได้ผลในระยะยาว ควรรับประทานอาหารให้หลากหลาย แต่ในปริมารที่พอเหมาะ จะทำให้น้ำหนักค่อยๆ ลง มีสุขภาพที่ดีด้วย
ที่มาข้อมูล :นิตยสาร Health Today
เกร็ดความรู้ในการลดน้ำหนัก เค้าว่าหนังบางเรื่องสามารถ ช่วยลดน้ำหนักได้!
]]>การลดอาหารประเภทแป้งให้เหลือน้อยในแต่ละมื้อ เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำเพื่อการลดน้ำหนัก ลดความอ้วนที่ได้ผล เนื่องจากอาหารประเภทข้าว แป้ง น้ำตาล ที่อยู่ในกลุ่มคาร์โบไฮเดรตนี้ เมื่อกินเข้าไปมากเกินก็จะถูกเก็บสะสมไว้เป็นไขมัน ยากที่จะแก้ไข
อาหารประเภทแป้งนั้น รวมความถึง ข้าว, แป้ง, น้ำตาล, เผือกมัน และอาหารใดๆ ที่ทำมาจากส่วนประกอบเหล่านี้ เช่น ก๋วยเตี๋ยว, ขนมปัง, มักกะโรนี, สปาเกตตี, โดนัท, น้ำหวาน, น้ำอัดลม, ลูกกวาดม ลูกอม, ผลไม้หวานๆ รวมถึงเหล้า แอลกอฮอล์ทั้งหมด ด้วย เพราะ เมื่อแอลกอฮอล์ถูกย่อยแล้วก็จะได้ส่วนที่เล็กสุดเป็นกลูโคส เช่นเดียวกับอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต
ลดน้ำหนัก โดยการคิดแบบคนผอม
เมื่อคนเรากินอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเข้าไป ร่างกายก็จะย่อย จนได้น้ำตาล ที่เรียกว่ากลูโคส เมื่อได้กลูโคสแล้วตับอ่อนก็จะสร้างสารที่เรียกว่า อินซูลินขึ้น เพื่อให้นำกลูโคสในกระแสเลือดไปเผาผลาญตามส่วนต่างๆ ของร่างกายเพื่อให้ได้พลังงาน ดังนั้น หากเรากินข้าว แป้ง น้ำตาลมากๆ ก็จะมีกลูโคสในเลือดสูงเช่นกัน ดังนั้น ตับอ่อนก็ต้องสร้างอินซูลินที่ทำหน้าที่รักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้เหมาะสมออกมามาก ซึ่งไม่เป็นการดี เพราะตับอ่อนต้องทำงานหนัก และเมื่อกินแป้งเข้าไปล้นจนเกินความต้องการของร่างกายแล้วอินซูลินก็จะนำเอากลูโคสไปสะสมไว้เป็นไขมัน ต้องตามมาลดกันทีหลัง
ฉะนั้น การกินอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตนี้ ต้องกินแต่น้อยเท่านั้นไม่ให้เกิน เมื่อเกินก็เป็นไขมันเมื่อนั้น อย่างไรก็ตามไม่ใช่เพียงอาหารข้าว แป้ง น้ำตาล นี้เท่านั้นที่ต้องกินให้น้อย อาหารโปรตีน ที่เป็นเนื้อๆ และ ไขมัน น้ำมันก็ควรกินให้เพียงพอดี เพราะไม่ว่ากินอะไร ถ้าเกินแล้วก็สะสมเหมือนกัน แต่ที่ต้องเน้นให้กินคาร์โบไฮเดรตให้น้อยเป็นพิเศษนั้นก็เพราะว่าการลดน้ำหนักนั้นต้องหวังผลจากการทำงานของสารชื่อกลูคากอน ซึ่งมีหน้าที่การทำงานตรงกันข้ามกันอินซูลิน กลูคากอนมีหน้าที่รัษาระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดไม่ให้ต่ำเกินไปนั่นคือเมื่อใดที่ร่างกายมีกลูโคสในเลือดน้อยตับอ่อนก็จะผลิตกลูคากอนขึ้นมาให้ดึงไขมันที่สะสมไว้นั้นออกมาเป็นกลูโคสในกระแสเลือด ฉะนั้นหากต้องการจะลดความอ้วนอย่างได้ผลให้ไขมันลดลงแล้ว จึงควรกินอาหารประเภทคาร์โบร์ไฮเดรตให้น้อยเพื่อกลูโคสในเลือดจะต่ำ และ กลูคากอนก็จะทำการดึงไขมันออกมาใช้
วิธีสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่จะทำให้กลูโคสต่ำลง และยังทำให้ตับอ่อน หลั่งกลูคากอนให้ออกมาทำงานนั้นก็คือ การออกกำลังกาย เพราะเมื่อใช้เวลาออกกำลังกายนานสักหน่อยให้กลูโคสในเลือดได้ถูกใช้ออกไปแล้ว ตับอ่อนก็จะหลั่งกลูคากอนออกมาให้ไปเปลี่ยนไขมันที่สะสมไว้ออกมาเป็นกลูโคสเพื่อใช้ต่อไป ฉะนั้นเมื่อได้ออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ ก็จะทำให้ไขมันค่อยๆลดลง สัดส่วนลดลงและ สุดท้ายน้ำหนักลดลง การออกกำลังกายเป็นหัวใจสำคัญของวิธีลดความอ้วน ลดน้ำหนักเลยทีเดียว
ที่มาจาก http://how2slim.blogspot.com
สัตว์โลกย่อมอ้วนไปตามปาก!
]]>ไม่ว่าใคร ๆ ก็ล้วนแล้วอยากจะมีสุขภาพที่ดีไม่ต่างกัน ดังนั้น การดูแลตัวเองด้วยการออกกำลังกาย และการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ จึงเป็นวิธีง่าย ๆ ที่หลาย ๆ คนเลือกใช้ และที่สำคัญ มันให้ผลลัพธ์ที่ดีซะด้วยสิ โดยเฉพาะเรื่องการรับประทานอาหารที่ทำให้สุขภาพดีจากภายใน ยิ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำให้ได้ทุกวันเลยล่ะ
อ๊ะ ๆ แต่รู้มั้ยคะว่า นอกจากการรับประทานอาหารครบ 5 หมู่แล้ว หากคุณได้รับประทาน “สุดยอดอาหาร” ในทุก ๆ วันแล้ว ยิ่งทำให้คุณมีสุขภาพดีมากขึ้นไปอีก เอ? ว่าแต่สุดยอดอาหารที่ว่านี้ คืออะไร อิอิ.. ตามไปดูพร้อม ๆ กันเลยค่ะ
อาหารเพื่อสุขภาพ – 10 สุดยอดอาหารที่ควรทานทุกวัน
1. เบอร์รี่
แม้ว่าผลไม้ตระกูลเบอร์รี่จะเคยเป็นผลไม้ที่หาทานได้ยากในบ้านเรา แต่ในสมัยนี้เห็นจะไม่ใช่อย่างนั้นแล้วล่ะค่ะ เพราะเดี๋ยวนี้เค้ามีขายกันเกลื่อนตามห้างสรรพสินค้า และท้องตลาดบางแห่งด้วยแน่ะ คุณ ๆ รู้ไหมคะว่า ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่นั้น ช่วยในเรื่องของระบบย่อยอาหารได้มากเลยทีเดียว แถมยังมีแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ช่วยให้ผิวอ่อนเยาว์ และที่สำคัญ ยังมีวิตามิน C ที่ช่วยในเรื่องผิวพรรณและหวัดอีกด้วย
2. ไข่ไก่
ไข่ไก่เป็นสุดยอดอาหารที่หาง่ายมากๆ แถมยังราคาถูกอีกแน่ะ คุณ ๆ รู้ไหมว่า ไข่ไก่นั้นเป็นแหล่งของโปรตีนคุณภาพสูง ที่ทำให้คุณได้พลังงานแต่ไม่อ้วน แถมมีประโยชน์ในการบำรุงสายตา อ้อ แถมยังมีลูทีนที่จะป้องกันผิวคุณจากการทำลายของแสงแดดอีกด้วย
3. ถั่ว
ถั่วเป็นแหล่งของเหล็ก ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยในการส่งผ่านออกซิเจนจากปอดไปยังเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย โดยในถั่ว 1 ถ้วย จะให้ธาตุเหล็กประมาณ 16 มิลลิกรัม ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่สูงเลยทีเดียว นอกจากนี้ ถั่วยังมีไฟเบอร์ช่วยให้ร่างกายขับถ่ายได้ง่ายอีกด้วย
4. อัลมอนต์ แม็คคาเดเมีย และมะม่วงหิมพานต์
เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจ จากการศึกษาของนักโภชนาการ พบว่า ผู้ที่รับประทานเมล็ดพืชเหล่านี้จะมีอายุยืนกว่าผู้ที่ไม่ได้ทานถึง 2 ปีครึ่งเลยทีเดียว นอกจากนี้ ยังมีโอเมก้า 3 เอแอลเอ ที่จะส่งผลให้อารมณ์ดีขึ้น ที่สำคัญยังช่วยลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีด้วย
5. ส้ม
เป็นแหล่งวิตามิน C คุณภาพ ที่มีประโยชน์ต่อการสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาว และช่วยสร้างภูมิต้านทานโรค รวมทั้งยังมีไฟเบอร์สูง เป็นแหล่งของแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ ที่จะช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากการถูกทำลาย และเสริมสร้างคอลลาเจนในผิว เรียกว่าคุณประโยชน์ครบครันเลยทีเดียว
6. มันเทศ
อาหารที่หาได้ง่าย แถมยังให้ประโยชน์มากมายกับสุขภาพอีก มันเทศเป็นแหล่งเบตาแคโรทีนชั้นดีที่ช่วยในการบำรุงสายตา เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และที่หลาย ๆ คนคิดไม่ถึง คือ มันเทศมีสารต้านมะเร็งสูงอีกด้วยค่ะ
7. บร็อคโคลี่
เป็นแหล่งของวิตามินซี เอ และเค เป็นผักที่มีเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยบำรุงสายตา และมีสารไอโซธิโอไซยาเนทส์ (Isothiocyanates) ที่ช่วยต่อต้านมะเร็งปอด รวมถึงมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ วิตามินเคยังเป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกด้วย
8. ชา
แม้ว่าชาจะเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่ไม่ได้ให้ผลดีต่อสุขภาพเท่าไหร่ แต่รู้ไหมว่า การดื่มชาในปริมาณที่พอเหมาะ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นอัลไซเมอร์ มะเร็ง และทำให้สุขภาพฟันและกระดูกแข็งแรงขึ้น เพราะในชานั้นมีสารแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ที่เรียกว่า ฟลาโวนอยด์ (flavonoids) ที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีต่อสุขภาพ
9. คะน้า
มีสารเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ มะเร็งปอด รวมถึงมีวิตามินที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ สร้างภูมิต้านทานโรคที่ดี นอกจากนี้ยังมีแคลเซียมเสริมสร้างการทำงานของกระดูก
10. โยเกิร์ต
อาหารสุขภาพที่หลาย ๆ คนมักจะซื้อไว้ติดบ้าน เอาไว้ทานยามหิว และนั่นเป็นสิ่งที่ดีแล้วค่ะ เพราะในโยเกิร์ตนั้นมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายมากมาย ไม่ว่าจะเป็น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส สังกะสี วิตามินบี 12 และโปรตีน ดังนั้น ถ้าคุณทานโยเกิร์ตให้ได้วันละ 1 ถ้วย จะทำให้สุขภาพคุณดีอย่าบอกใครเลยล่ะ
ที่มา กระปุกดอทคอม
คือสูตร โยเกิร์ต+นมสด+น้ำผึ้ง+น้ำมะนาว กินเข้าไปจะล้างลำไส้ได้ แลคโตบาซิลัสในโยเกิร์ตจะไปช่วยไขมันที่อยู่ในลำไส้ไปย่อยขยะในลำไส้ด้วย เปลี่ยนเป็นวิตามิน บี12 ให้เรา สูตรนี้กินตอนเช้าลดความอ้วน กินตอนเย็นเพิ่มความอ้วนฝึกดื่มน้ำตามมาก ๆ เป็นวิธีแก้
ถ้ามีผลต่อเนื่องที่เกิดจากไขมันเกาะในลำไส้เล็ก เช่น เป็นโรคไตเกิดขึ้นการที่ผมเปลี่ยนสีเป็นสัญลักษณ์ของอาการไตเริ่มเสื่อม
ไตสองข้างเสื่อมจะมีอาการไม่เหมือนกัน
ถ้าไตซ้ายเสื่อท่านจะขี้ร้อน และไม่ใส่ใจตนเองไม่ค่อยดูแลตัวเอง เป็นอะไรก็ปล่อยปละละเลย ปล่อยตัวแต่ไม่ปล่อยวางไม่กตัญญูต่อแผ่นดินที่ให้ร่างกายนี้มา ร่างกายเราเป็นแผ่นดินของจิตวิญญาณ
ถ้าไตขวาเสื่อมจะขี้หนาว ความจำลดลง ไม่ต้องรอให้หมอวินิจฉัยว่าเป็นโรคไต ถ้าเริ่มมีสัญญานก็จัดการตัวเองเลย เห็ดหูหนูดำเป็นตัวดูแลไตที่ดี บางสำนักอาจตีความ เห็ดชนิดนี้ไว้ไม่ดีว่า อาจเป็นพิษหรืออะไร ที่จริงเห็ดเป็นแหล่งโปรตีนที่ดีกว่าถั่วเหลือง เต้าหู้
นักมังสวิรัติบางคนถูกครอบงำด้วยสารพิษในลูกชิ้นเทียม ดังนั้นอาหารจากธรรมชาติเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
เห็ดหูหนูบำรุงไต เห็ดหูหนูขาวบำรุงปอด ถ้าเอาเห็ดสามอย่างมาปรุงอาหารรวมกัน จะเกิดความมหัศจรรย์ขึ้น สามารถล้างพิษในตับได้ ผมเป็นนักธรรมชาติบำบัดมาหลายปี มีประสบการณ์ในการรักษาคนไข้โรคมะเร็ง มีประสบการณ์ในการกินเห็ดสามชนิด ทำให้หายดีขึ้น
เห็ดสามชนิด คือเห็ดอะไรก็ได้ ที่กินได้ จะแกงส้งกินก็ได้ ทั้งสามตัวนี้สามารถช่วยรักษาตับ ซีสต์ เนื้องอก มะเร็ง มีการค้นพบว่า คนเป็นเนื้องอกใหญ่ในมดลูกช่องท้อง หลังจากกินเห็ดสามอย่างเป็นประจำ พวกซีสต์เนื้องอกจะลดลง มีกลุ่มที่ รพ.นวนคร ป่วยเป็นซีสต์ในมดลูก เขาเอาเห็ดสามอย่างมาทำแกงเลียง แกงส้ม ต้มยำ หรือของหวานได้ทั้งนั้น หรือจะทำน้ำดื่มใส่มะตูมใบเตย เครื่องดื่มนี้ถ้าทานเป็นประจำจะล้างสารพิษในร่างกายออกได้ดี อาจจะต้มใส่กา ห่วยซัว ใส่หม้อต้มกับสาหร่ายทะเล ไม่ต้องปรุงอะไรอร่อยพอดี เป็นซุบทานประจำก็ได้
เรื่องไต ตัวที่บำรุงไตดีที่สุดคือกระชาย
ไม่ถึงขนาดต้องใช้กระชายดำเพราะราคาแพง เอาแต่กระชายเหลืองธรรมดา 1 กก. ใส่น้ำเยอะ ๆ ปั่นผสมกับโหระพา รินเอาแต่น้ำใส ทำมาก ๆ แล้วเก็บใส่ตู้เย็น ไม่ต้องต้มเพราะมันฆ่าเชื้อด้วยตัวเอง ผสมน้ำผึ้ง น้ำมะนาว ดื่มบำรุงสมอง บำรุงกระดูก เลือดเลี้ยงสมองไม่ดี ความจำเสื่อม นอนไม่ค่อยหลับ จะช่วยได้ แล้วผมจะกลับมาดกดำอีก ( ผมอายุ 50 ปี สมัยก่อนหัวล้าน ผมร่วง หงอกด้วย พอได้น้ำกระชายก็กลับมาดำใหม่ ไม่ต้องย้อมเลย )
โคเรสเตอรอล แพทย์ตะวันตกไม่ให้ความสำคัญกับเยื่อหุ้มหัวใจ
มันมีผลต่อการทำให้โคเรสเตอรอลสูง มีผลทำให้ลิ้นหัวใจรั่ว เส้นเลือดตีบในสมองหรือคนที่เป็นเส้นเลือดขอด ให้ใช้กระเจี๊ยบแดงต้มกับพุทราไทยหรือจีนก็ได้ เติมน้ำตาบกรวดเล็กน้อย เอาไว้ล้างไขมันในเลือด ในรายที่เส้นโลหิตในสมองตีบก็สามารถ ขจัดออกไปได้เร็ว ๆ นี้ คนป่วยด้วยโลหิตในสมองตีบ ก็แนะนำให้ต้มกระเจี๊ยบกับพุทราจีนกิน เขาก็หายได้ เป็นเรื่องง่าย ๆ แต่ช่วยได้เยอะ
ในร่างกายที่ไม่ค่อยสร้างเม็ดเลือด มีเม็ดเลือดน้อย หรือเป็นลมหน้ามืดบ่อย
การใช้สับปะรดกับโหระพาจะช่วยเพิ่มเม็ดเลือดได้ดี เด็กที่เลือดน้อย ลองทำให้กินในรายที่ทานมังสวิรัติ แล้วคิดว่าขาดโปรตีนอย่ากังวล เพียงปั่นสับปะรดกับใบโประพาให้ดื่ม ก็สามารถเพิ่มเม็ดเลือดได้เป็นการสร้างโปรตีนให้แก่ร่างกายด้วยวิธีง่าย ๆ แม้พืชผักในธรรมชาติก็มีแหล่งโปรตีน และกรดอะมิโนอยู่ในตัวของเพียงให้รู้จักวิธีนำมาใช้
ที่มา http://www.pendulumthai.com/clockx.html
พระพุทธเจ้า ตรัสไว้ว่า ” อาหารเป็นหนึ่งในโลก ” อาหารที่สมดุล ก็จะได้สุขภาพดีที่หนึ่ง อาหารไม่สมดุล ก็จะได้สุขภาพเสียที่หนึ่ง
@@@ ตัวอย่างอาหารที่มีผลต่อสุขภาพ @@@
มีผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ท่านหนึ่งอยู่ภาคเหนือ มีอาการปัสสาวะเป็นเลือด ได้ไปจี้ที่
โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง เสียค่ารักษาพยาบาล 5 หมื่นบาท เมื่อผ่านไประยะหนึ่งเลือดก็ ออกมาอีก ในขณะที่ผู้ป่วยกำลังเดินทางมาเข้าค่ายที่ผู้เขียนจัดผู้ป่วยได้ปรึกษามาทีมงาน สุขภาพ จึงได้แนะนำว่าเป็นภาวะร้อนเกิน ให้หาสิ่งที่มีฤทธิ์เย็นรับประทาน ผู้ป่วยได้เฉาก๊วยซึ่งมีฤทธฺ์เย็นมารับประทาน ปรากฏว่า จากปัสสาวะเป็นเลือดสีน้ำล้างเนื้อก็ค่อย ๆ ใสขึ้น เรื่อย ๆ จนเป็นปกติ (เลือด หยุดไหล) ภายใน 4 ชั่วโมง จะเห็นได้ว่า การไปจี้ที่โรงพยาบาล เสียค่ารักษาพยาบาล 5 หมื่นบาท แต่การรู้อาหารร้อน-เย็นแล้วปรับสมดุลตัวเสียค่าใช้จ่าย ซื้อเฉาก๊วยแค่ 5 บาท
ลูกศิษย์ของผู้เขียนท่านหนึ่งเป็นพยาบาลวิชาชีพ มีอาการปวดศรีษะ เมื่อรู้ว่าเกิดจาก
ภาวะร้อน เกิดแต่ไม่อยากรักประทานยาแก้ปวดเพราะ รู้ว่ายาแก้ปวดทุกชนิดที่เป็๋นเคมีพิษ ต่อร่างกาย จึงไปเอามังคุด ซึ่งมีฤทธิ์เย็นมารับประทาน ประมาณ 6 ลูก อาการปวดศรีษะก็หายไป
ผู้ป่วยเอดส์คนหนึ่ง มีตุ่มหนองเริมงูสวัดขึ้นทั้งตัว หมอท่านหนึ่งที่ดูแลผู้ป่วยอยู่ ได้โทรมาปรึกษาผู้เขียน ผู้เขียนจึงบอกว่า เป็นภาวะร้อนเกิน ให้ถอนพิษร้อน ช่วงเวลาต่อมา หมอท่านนั้นได้มา
กล่าวคำขอบคุณผู้เขียนและบอกว่าหลังจากที่ปฎิบัติแค่ 2 วัน อาการดังกล่าวก็ยุบลง ผู้เขียน จึงถามว่าทำอย่างไร หมอท่านนั้นตอบว่าต้มฟัก ต้มถั่วเขียวให้รับประทาน (ฟักและถั่วเขียว มีฤทธฺ์เย็น)
อีกกรณี มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผู้เขียนไปรับประทานจับฉ่าย (ซึ่งมีฤทธิ์ร้อนมาก จากน้ำมันและการอุ่นซ้ำ ๆ) เกิดอาการหูอื้อ (หูดับตับไหม้/ตับร้อน) ผู้เขียนจึงแก้ไขด้วยการเอาส้มตำรสไม่จัด(มีฤทธิ์เย็น)มารับประทาน อาการทุเลาและหายภายใน 5 นาที จากนั้นผู้เขียนก็รับประทานจับฉ่ายอีก อาการหูอื้อก็กับมาอีก พอรับประทานส้มตำแก้ อาการหูอื้อก็หายไปอีก
ยังมีตัวอย่างอีกมากมายที่ผู้เขียนไม่สามารถนำเสนอได้หมดในที่นี้ จะเห็นได้ว่า อาหารมีผลต่อสุขภาพอย่างมาก อาการเจ็บป่วยเฉียบพลัน ถ้าเรารีบแก้ด้วยการปรับสมดุลด้วยอาหาร อาการก็มักจะทุเลาหรือหายไปอย่างรวดเร็ว
แต่ถ้าเป็นเรื้อรังอาจต้องใช้เวลาบ้าง การปรับสมดุลด้วยก็มักจะทุเลาหรือหายไปอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าเป็นเรื้อรัง อาจต้องใช้เวลาบ้าง
การปรับสมดุลด้วยอาหาร จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่สำคัญมาก อีกอย่างหนึ่งที่น่าฝึกฝนเรีบนรู้ ดังรายละเอียดต่อไปนี้
7.1 เพิ่มการรับประทาน ผัก ผลไม้ที่ไม่หวานจัด และโปรตีนจากถั่วหรือปลา (สำหรับผู้ที่ไม่สามารถงดเนื้อสัตว์)
7.2 ควรปรุงอาหารด้วยการต้มหรือนึ่ง ปรุงรสไม่จัดจนเกินไป ถ้าเป็นไปได้ ควรปรุงรสอยู่ในระดับประมาณ 10-30 % ของที่เคยปรุง อาจปรุงมากหรือน้อยกว่านี้ตามความสมดุลพอดีของร่างกาย ณ ปัจจุบันนั้น ๆ ซึ่งตัวชี้วัดของความสมดุลพอดี คือ ความรู้สึกสบาย เบากาย มีกำลัง หรือถ้าผู้ที่ติดรสจัดมาก ก็ค่อย ๆ ลดรสจัดของอาหารลง ให้มากที่สุด เท่าที่จะพอรับประทานได้โดยไม่ลำบากนัก
7.3 งดหรือลดการรับประทานอาหารที่หวานจัด เช่น ของหวาน น้ำหวาน น้ำอัดลม เครื่องบำรุงกำลัง ผลไม้หรือน้ำผลไม้ที่หวานจัด อาหารที่เค็มจัด เช่น ปลาร้า ผักดอง เนื้อเค็ม ไข่เค็ม อาหารที่ปรุงเค็มมาก และอาหารที่มีผงชูรสมาก
(มีการวิจัยของกระทรวงสาธารณสุขพบว่า อาหารที่มีโซเดียมมากเกิน เค็มจัดหรือมีผงชูรสมาก ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง หัวใจโตน้ำหนักเพิ่ม ไตเสื่อม ภูมิต้านทานลด และรหัสพันธุกรรมผิดปกติ)
อาหารที่มีไขมันสูง เช่น อาหารผัดทอด เนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูง ได้แก่ เนื้อหมู วัว ควาย ไก่พันธุ์เนื้อ อาหารทะเล เป็นต้น และอาหารที่ปรุงรสอื่น ๆ จัดเกินไป เช่น เผ็ด เปรี้ยว ขม ฝาด เป็นต้น
ลด ละ เลิก การสูบบุหรี่และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ น้ำอัดลม เครื่องดื่มเกลือแร่ เครื่องดื่มบำรุงกำลังต่าง ๆ
นำหมัก ข้าวหมาก รวมถึงอาหารที่มีวิตามินน้อย แต่มีโซเดียมหรือไขมันสูงเกิน ได่แก่ อาหารแปรรูปหรือสำเร็จรูปต่าง ๆ เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขนมอมขนมกรุบกรอบ ขนมปัง อาหารกระป๋อง ไส้กรอก หมูยอ กุนเชียง ปลาเค็ม เนื้อเค็ม ไข่เค้ม ของหมักดอง อาหารทะเล (จะมีทั้งไขมันและโซเดียมสูง) เป็นต้น
7.4 หลักปฎิบัติ 4 อย่าง ในการรับประทานอาหาร เพื่อสุขภาพที่ดี
1. ฝึกรับประทานอาหารตามลำดับ
2. เคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน
3. รับประทานในปริมาณที่พอดีรู้สึกสบาย
4. กลืนลงคอให้ได้ เพราะอาหารสุขภาพมักจะไม่อร่อย ยกเว้น ผู้ที่มีบุญบารมีมากหรือผู้ที่ฝึกรับประทานบ่อย ๆจะรู้สึกอร่อยไปเอง
เทคนิคที่สำคัญในการรับประทานอาหารให้อร่อย คือ …
– รอให้รู้สึกหิวมากๆ ก่อนแล้วค่อยลงมือรับประทาน
– หมั่นระลึกถึงประโยชน์ของอาหารสุขภาพให้มาก
– หมั่นระลึกถึงผลเสียของอาหาร ที่ไม่สมดุลหรือเป็นพิษให้มาก
กรณีที่มีภาวะร้อนเกิน ในมื้อหลัก 1 มื้อ ใน 1 วัน อาจเป็นช่วงเช้าหรือเที่ยงก็ได้ มีเทคนิคการรับประทานอาหารตามลำดับ คือ
ลำดับที่ 1 ดื่มน้ำสมุนไพรปรับสมดุล เช่น น้ำย่านาง ฯลฯ
ลำดับที่ 2 รับประทานผลไม้ฤทธิ์เย็น เช่น กล้วยน้ำว้า แก้วมังกร กระท้อน สับปะรด ส้มโอ ชมพู่ มังคุด แตงโม แตงไทย ฯลฯ
ลำดับที่ 3 รับประทานผักฤทธิ์เย็นสด เช่น อ่อมแซบ(เบญจรงค์) ผักบุ้ง แตง กว้างตุ้ง สายบัว ผักกาดฮ่องเต้ ผักกาดขาว ผักสลัด
ลำดับที่ 4 รับประทานข้าวจ้าวพร้อมกับข้าว โดยรับประทานข้าวกล้องหรือข้าวซ๋อมมือ ควรงดหรือลดคาร์โบไฮเดรท ที่มีฤทธิ์ร้อนมาก
เช่น ข้าวเหนียว ข้าวแดง ข้าวดำ(ข้าวก่ำ ข้าวนิล) ข้าวอาร์ซี ข้าวสาลี ข้าบาเลย์ เผือก มัน กลอย
ลำดับที่ 5 รับประทานต้มถั่วหรือธัญพืชฤทธิ์เย็น เช่น ถั่วขาว ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วลันเตา ถั่วโชเล่ย์ขาว ลูกเดือย
กรณีที่มีภาวะเย็นเกินแทรกขึ้นมา ให้กดน้ำร้อนใส่สมุนไพรฤทธิ์เย็นหรือตั้งไฟให้ร้อนก่อนรับประทาน ลดหรืองดสิ่งที่มีฤทธิ์เย็น
รับประทานผักหรืออาหารผ่านไฟให้มากขึ้น เพิ่มสิ่งที่มีฤทธฺ์ร้อนเข้าไป ตามสภาพร่างกายที่รับประทานแล้วรู้สึกสบาย
ที่มาจาก ข้อมูลแพทย์วิถีธรรม
]]>